สถาปัตยกรรมอีสาน
สิมอีสาน Sim I – San (Northeast Buddhist Holy Temple)
“สิม” มีความหมายเช่นเดียวกับ “โบสถ์” หรือ “อุโบสถ” กร่อนเสียงมาจากคำว่า “สีมา” ซึ่งหมายถึงขอบเขตหรืออาณาเขต ที่กำหนดขึ้นเพื่อใช้ในกิจกรรมของสงฆ์ซึ่งต้องทำในสิม ทำนอกสิมไม่ได้
สิมมี 3 ประเภท สิมที่ทำในบ้านเรียก “คามสีมา” สิมที่ทำในป่าเรียก “อพัทธสีมา” ถ้าผูกแล้วเรียก “พัทธสีมา” ส่วน “วิสุงคามสีมา” นั้นคือ “คามสีมา” ที่พระเจ้าแผ่นดินทรงยกที่ดินที่จะสร้างสิมให้ แต่สีมาจะเป็นชนิดใดก็ตาม หากยังไม่ได้ผูกก็ยังไม่มั่นคงถาวร เพราะผู้ให้อาจจะเพิกถอนเมื่อใดก็ได้ ท่านว่าถ้าได้ผูกแล้ว รากสิมจะหยั่งลงไปถึงน้ำหนุนแผ่นดิน ดังนั้นเมื่อมีการสร้างสิมแล้วจึงนิยมผูกสีมาทุกคราไป
รูปแบบของสิมในภาคอีสานนั้น ส่วนใหญ่ปรากฏให้เห็นอยู่ 2 ชนิด คือ “คามสีมา” หรือที่ชาวอีสานมักเรียกว่า “สิมบก” และ “อุทกกะเขปะสีมา” ที่เรียกว่า “สิมน้ำ”
สิมน้ำหรืออุทกกะเขปะสีมา ในอีสานมีน้อยมาก สร้างขึ้นเพราะความจำเป็นเร่งด่วนในการประกอบสังฆกรรมซึ่งไม่มีวัดหรือมีเพียงสำนักสงฆ์ที่ยังขาด “สิม” อันได้ผูกพัทธสีมาถูกต้องตามพระวินัย
รากฐานของสิมน้ำในระยะแรกมักใช้เรือหรือแพผูกมัดเข้าหากัน แล้วปูพื้นกระดานทำเป็นโรงเรือนแบบง่ายๆ มิได้คำนึงถึงรูปแบบทางสถาปัตยกรรมเพื่อความสวยงามแต่ประการใด สิมน้ำนิยมทำแพร่หลายในช่วงเผยแพร่พุทธศาสนาธรรมยุตติกนิกาย ในสมัยของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ท่านพระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล และท่านพระอาจารย์สิงห์ ขัตยาคโม
สิมบกหรือคามสีมา
“สิมบกหรือคามสีมา” เป็นผลงานของสถาปนิกพื้นบ้านอีสานอย่างแท้จริง บ่งบอกถึงภูมิปัญญาช่างพื้นบ้านแบบดั้งเดิม ที่สั่งสอน แก้ไข ดัดแปลง สืบต่อกันมา แม้ขนาดจะไม่ใหญ่โตอลังการเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น แต่ก็เป็นสัจธรรมที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตของผู้คนบนถิ่นนั้นๆ ผลงานของช่างต่างถิ่นต่างวัฒนธรรมตลอดถึงการลอกเลียนรูปแบบจากช่างเมืองหลวง จนก่อให้เกิดรูปแบบสิมบก มีลักษณะใหญ่ๆ 4 ลักษณะดังนี้
- สิมอีสานพื้นบ้านบริสุทธิ์
- สิมอีสานพื้นบ้านประยุกต์โดยช่างพื้นบ้าน(รุ่นหลัง)
- สิมอีสานพื้นบ้านผสมเมืองหลวง
- สิมอีสานที่ลอกเลียนเมืองหลวง
หากจะแบ่งตามลักษณะทางสถาปัตยกรรมของสิมบกสามารถแบ่งได้ 2 ชนิด คือ
- ชนิดโปร่งหรือสิมโถง ซึ่งแบ่งย่อยได้เป็น สิมโปร่งพื้นบ้านบริสุทธิ์ มีทั้งแบบไม่มีเสารับปีกนก และแบบมีเสารับปีกนก
- ชนิดสิมทึบ ซึ่งแบ่งย่อยได้เป็น
สิมพื้นบ้านบริสุทธิ์ สร้างด้วยไม้และอิฐถือปูน ซึ่งแบบอิฐถือปูนมีทั้งแบบมีและไม่มีเสารับปีกนก
สิมพื้นบ้านประยุกต์โดยช่างพื้นบ้าน(รุ่นหลัง) มีทั้งแบบใช้ช่างพื้นบ้านไท-อีสาน และญวน หรือได้รับอิทธิพลจากช่างญวน โดยจำแนกได้เป็นแบบ ไม่มีมุขหน้า แบบมีมุขหน้า แบบมีมุขหน้าและมุขหลัง และแบบมีระเบียงรอบ
สิมทึบพื้นบ้านผสมเมืองหลวง
สิมทึบที่ลอกเลียนเมืองหลวง
สิมน้ำ Sim Nam (Water Sim)
ข้อบัญญัติตามพระวินัยปิฎกกล่าวไว้ว่า น่านน้ำที่สงฆ์จะกำหนดเป็นอุทกกะเขปะได้มี 3 ประการคือ
- นที แม่น้ำ
- สมุทร ทะเล
- ชาตสระ ที่ขังน้ำอันเกิดเอง
การทำสังฆกรรมในน่านน้ำ 3 ชนิด จะทำบนเรือหรือบนแพที่ผูกกับหลักในน้ำหรือทอดสมอก็ได้ ให้ห่างจากตลิ่งกว่าชั่ววิดน้ำสาด (ประมาณ 3 วา) ท่านห้ามไม่ให้ทำในเรือหรือแพที่กำลังลอยลำเดินทาง จะทำบนร้านที่ปลูกขึ้นในน้ำ ท่านว่าได้
ดังนั้น “ร้านที่ปลูกขึ้นในน้ำ” จึงเป็นมูลเหตุมาเป็น สิมน้ำ ประเภทถาวรขึ้น สามารถใช้สอยได้ในระยะเวลานานพอสมควร แม้จะไม่มีความคงทนนักปัจจุบัน สิมน้ำ ในภาคอีสานได้สูญหายไปจนเกือบหาดูไม่ได้แล้ว
ส่วนประกอบตกแต่งสิม Decoration of Sim
“สิมอีสาน” นอกจากจะมีรูปแบบที่บ่งบอกถึงเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นอีสานแล้ว ยังมีรายละเอียดของการตกแต่งอีกหลายประการที่ทำให้ตัวสิมมีความงามเพิ่มมากยิ่งขึ้น เราอาจแยกสิมออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้
ส่วนบน คือ ส่วนของหลังคาทั้งหมด จะมีส่วนประดับตกแต่งเช่น ช่อฟ้า โหง่ ลำยอง หางหงส์ เชิงชาย และสีหน้า เป็นต้น
ส่วนกลาง คือ ตัวสิม หากเป็น สิมโปร่ง จะไม่ใคร่มีการตกแต่งมากเท่าสิมทึบ ซึ่งในส่วนนี้จะก่ออิฐฉาบปูนเป็นส่วนใหญ่ มีส่วนประกอบตกแต่ง เช่น ประตู หน้าต่าง คันทวย ฮังผึ้ง และบางแห่งอาจมีฮูปแต้มทั้งภายนอกและภายในตลอดถึงฐานชุกชีพระประธานก็ถือว่าเป็นงานตกแต่งที่อยู่ในส่วนนี้
ส่วนฐาน คือ ส่วนของแอวขัน ที่ก่ออิฐฉาบปูนทำเป้น โบกคว่ำ-โบกหงาย และมีท้องกระดานกระดูกรูปงูตามรสชาติงานของช่างอีสาน ซึ่งมีการวางจังหวะและสัดส่วนแผกไปจากช่างจากภาคอื่น นอกจากนั้นก็มีปูนปั้นเป็นรูปสัตว์เฝ้าบันได อาทิเช่น จระเข้เหรา สิงห์ และตัวมอม เป็นต้น
รายละเอียดส่วนประดับมีดังนี้
ช่อฟ้า นับเป็นส่วนที่สูงที่สุดของสิม มักแกะสลักด้วยไม้เป็นลักษณะคล้ายปราสาท(ผาสาด)
หรือฉัตรตั้งลดหลั่นซ้อนกันขึ้นไปบนสันหลังคาตรงส่วนกลางของหลังคาสิม นับเป็นส่วนสำคัญที่ชี้บอกถึงความเป็นอีสาน
ปัจจุบันยังพอมีสิมที่ก่อสร้างใหม่บางหลังที่ยังคงเอกลักษณ์ของ “ช่อฟ้า” ส่วนนี้ไว้แม้จะทำเป็นคอนกรีตไปแล้วก็ตาม
โหง่ หรือที่ภาคกลางเรียกว่า “ช่อฟ้า” ตัวนี้นั้น นับเป็นส่วนสำคัญของการตกแต่ง สิมอีสาน ที่ขาดไม่ได้
เพราะจะทำให้หลังคาขาดด้วนไปอย่างเห็นได้ชัด ช่างได้ออกแบบโหง่ ให้มีรูปแบบที่เป็นพื้นถิ่นอย่างมีคุณค่า
จะไม่มีแบบสูตรสำเร็จเหมือนภาคกลาง โหง่ ของเดิมจะสร้างด้วยไม้ทั้งสิ้น
ลำยอง เป็นส่วนที่เรียกว่า “นาคสะดุ้ง” แต่สิมอีสานมักนิยมทำเรียบเป็นแบบ “แป้นลม” ของเรือนพักอาศัย
หลายแห่งแกะสลักเป็นลำตัวนาคเกี่ยวหางต่อหัวกันอย่างสนุกสนาน ข้างละไม่ต่ำกว่า ๓-๕ ตัว
ส่อให้เห็นถึงความเป็นอิสระในการออกแบบของช่างอย่างเต็มที่
หางหงส์ สลักเป็นหัวพญานาคบ้างเป็นลายก้านดก (กนกหัวม้วน) บ้าง แล้วแต่ช่างจะคิดประดิษฐ์เอา
เชิงชาย บางแห่งก็แกะสลักเป็นลายเครือเถา บางแห่งก็ฉลุไม้เป็นลวดลายคล้ายอุบะย้อยต่อเนื่อง แต่ส่วนใหญ่จะไม่ใคร่ตกแต่งในส่วนนี้
หน้าบัน หรือ “สีหน้า” ของสิมอีสาน นิยมทำเป็นลายตาเวน หรือเป็นดวงตะวันส่องแสงเป็นรัศมีติดกระจกประดับ
ประดุจความสว่างไสวสดใสชัชวาลแห่งดวงประทีป คือปัญญาของผู้ใฝ่ใจในพระธรรมขององค์พระสัมมาพุทธเจ้า
ส่วนกลาง
ประตู ส่วนใหญ่จะมีประตูเดียว บางแห่งก็สลักลวดลาย มักเป็นลายเครือเถาตามแบบช่างพื้นบ้าน จะดูหยาบแต่ก็ให้ความเป็นเอกลักษณ์ของอีสานได้ดีทีเดียว
หน้าต่าง มักเจาะผนัง ๔ เหลี่ยมใส่บานหน้าต่างไม้ขนาดไม่ใหญ่นักอาจมีบานพับคู่และบานพับเดี่ยวไม่ใคร่ทำซุ่มประดับหน้าต่าง จะทำบ้างก็เป็นซุ้มประตูเสียส่วนใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อนิยมก่ออิฐปั้นปูนช่างญวนจะนิยมทำซุ่มประตูแบบอาร์คโค้งใส่ลงไปในสิมอีสาน แถมให้ด้วย
แขนนาง หรือ คันทวย ส่วนนี้เป็นลักษณะพิเศษของสิมอีสานที่ไม่เหมือนใคร จะมีทั้งทวยนาคและทวยแผงคือเป็นแผงแผ่นไม้ขนาดค่อนข้างใหญ่ แกะสลักลายนูนต่ำทั้ง ๒ ด้าน การประดับของคันทวยนี้ด้านล่างจะมีเต้าไม้ยื่นออกมารับจากผนังแล้วจะเอนหัวออกเล็กน้อยขึ้นไปยึดกับไม้ด้านบน ซึ่งเป็นไม้ขื่อรับปีกนกยันเชิงชาย จะเห็นได้ว่าแปลกกว่าของทางภาคอื่น
ฮังผึ้ง หรือ “รวงผึ้ง” ของทางภาคกลาง หรือ “โก่งคิ้ว” ของทางภาคเหนือ มีลักษณะเด่นมากของงานตกแต่งด้านหน้าของสิมอีสาน ซึ่งมักจะแบ่งออกเป็น ๓ ส่วน คือ ช่วงเสา ๔ ต้น ช่วงเสากลางเป็นหน้าบันของจั่วใหญ่ ตรงกับบันไดทางขึ้น ฮังผึ้งจะอยู่สูงกว่าปกติ ส่วนในช่วงเสาอีกสองข้างนั้นเป็นบันไดปีกนก จะมีฮังผึ้งต่ำลงมา มีการแกะสลักลวดลายวิจิตรประณีต ทำให้สิมอีสานดุอลังการขึ้นเป็นพิเศษ บางหลังด้านหน้ามีเพียงช่วงเสาเดียว ตัวฮังผึ้งจะยาวตลอดและยังคงทำเลียนแบบคล้ายอย่างแรกเช่นกัน
ส่วนฐาน
แอวขัน มีลักษณะพิเศษ สิมบางหลังมีแอวขันสูงท่วมหัว การก่ออิฐทำเป็นโบกคว่ำ-โบกหงาย มักจะสูงชันกว่าของภาคกลาง ส่วนท้องกระดานนิยมทำเป้นกระดูกงูโปนออกมาแก้ความเรียบของตัวท้องกระดาน
ส่วนลวดบัวนั้นก็มีคล้ายๆ กันโดยทั่วไป ส่วนใหญ่นิยมทำเป็นลักษณะแอวขันปากพาน คือ ทำเลียนรูปพานหรือโตกใส่ข้าวของต่างๆ ในพิธีกรรมพื้นบ้านนั้นเอง
ชุกชี ส่วนแท่นประดิษฐานพระประธานภายในสิม ช่างไท-อีสาน นิยมก่ออิฐถือปูนมีรูปแบบฐานแอวขันปากพาน สัดส่วนของการลดเหลี่ยม,โบกคว่ำ, โบกหงาย และท้องกระดานนั้นทำตามรสชาติงานช่างแบบพื้นเมือง ซึ่งให้คุณค่าจนเกิดเป็นเอกลักษณ์พิเศษเฉพาะตัว
บันได มักมีบันไดทางขึ้นเพียงด้านเดียว นิยมทำปูนปั้นเป็นรูปสัตว์เฝ้าบันได เช่น เป็นตัวจระเข้นอนราบเอาหัวลงล่างเอาหางอยู่บน บางแห่งเป็นรูปจระเข้เหราอ้าปากคาบสิงห์ บางแห่งก็เป็นตัวสัตว์คล้ายมอม ที่คนสมัยก่อนใช้สักไว้ตามขา (เฉพาะผู้ชาย) เป็นต้น