โดย ผศ.ชอบ ดีสวนโคก / ประภัสสร โคตะมะ พิมพ์และเรียบเรียง
พระพุทธรูปพระไม้เป็นสมบัติของบรรพบุรุษที่ได้จงใจจำหลักแกะเกลาตามความสามารถที่มีอยู่ ด้วยศรัทธาอันแรงกล้าหาที่เปรียบมิได้ต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์และต่อพระสงค์สาวกขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอันเป็นเนื้อนาบุญ แรงศรัทธาที่ได้แสดงออกมานั้นได้ถูกทำลายลงทีละน้อยตามกาลเวลาทั้งด้วยความจงใจของมนุษย์บ้าง ทั้งจากการกระทำของลมฝนดินฟ้าอากาศตามธรรมชาติบ้าง ความรู้สึกสำนึกในคุณค่าของพวกเราปัจจุบันที่มีต่อรอยแรงศรัทธาของบรรพชนในผลงานชิ้นนี้ได้ลดลงและจะเลือนหายไปในที่สุด สำนักศิลปวัฒนธรรมมหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้มองเห็นสภาพปัญหาที่มีอยู่และจะเป็นไปในอนาคต ในเรื่องนี้จึงกำหนดทำโครงการเก็บรวบรวมศึกษาข้อมูลเบื้องต้นเพื่อทำความเข้าใจแนวทางในการที่จะกระทำการอนุรักษ์ผลงานของบรรพบุรุษไม่ให้ถูกทำลาย เพื่อความภาคภูมิใจของอนุชนสืบไปบทความนี้ต้องการเสนอข้อมูลที่ได้เก็บรวบรวมศึกษาเบื้องต้นเท่านั้นไม่ได้มุ่งเสนอในฐานะเป็นผลงานด้านปติมากรรมไม่ได้เสนอในฐานะเป็นผลงานด้านประวัติศาสตร์แต่อย่างใด ความเป็นมาของพระพุทธรูปไม้อีสาน พระพุทธรูปไม้พบได้ในทุกจังหวัดของภาคอีสานทั้ง 19 จังหวัดการสร้างพระพุทธที่แกะสลักด้วยไม้นั้นภาคอีสานไม่สามารถชี้ชัดได้ว่ามีความเป็นมาอย่างไร ใครเป็นผู้สร้างขึ้นครั้งแรก ชื่อประวัติพระพุทธรูปปางต่าง ๆ ที่กรมการศาสนาจัดพิมพ์ เมื่อ พ.ศ.2525 ได้กล่าวถึงพระพุทธรูปปางห้ามแก่นจันทน์ อันแสดงว่าได้มีการสร้างพระพุทธรูปขึ้นเป็นครั้งแรก และเป็นการสร้างพระพุทธรูปที่แกะสลักด้วยไม้แก่นจันทน์เป็นครั้งแรกซึ่งมีใจความว่า “เมื่อพระบรมศาสดาเสด็จขึ้นไปจำพรรษา แสดงธรรมโปรดพระพุทธมารดาในเทวนิภพ ณ พระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ เป็นเหตุให้พระเจ้าปัสเสนทิโกศลได้ห่างเหินจากพระบรมศาสดาเป็นเวลานาน มิได้พบเห็นพระบรมศาสดาเป็นเวลาแรมเดือนความเคารพรักได้กระตุ้นเตือนพระทัยให้ทรงระลึกถึงพระกมลรำพึงรัฐจวนอยู่มิได้ขาดด้วยพระองค์มีพนะชนม์เป็นสหชาติเสมอด้วยพระชนม์ของพระบรมศาสดา จึงได้รับสั่งให้เจ้าพนักงานหาท่อนไม้แก่นจันทน์หอมอย่างดีมาแล้วโปรดให้ช่างไม้ที่มีฝีมือแกะเป็นรูปพระพุทธรูปปางประทับนั่งมีพระรูปโฉมโนมพรรณงามละม้ายคล้ายพระบรมศาสดา แล้วโปรดให้อัญเชิญพระไม้แก่นจันทน์นั้นมาประดิษฐานยังพระราชนิเวศน์ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเคยเสด็จประทับมาแต่ก่อน พอบรรเทาความอารมณ์ได้สบายพระทัยยามเมื่อทอดพระเนตร ครั้นภายหลังเมื่อพระบรมโลกเชฏฐ์เสด็จกลับจากสรวงสวรรค์แล้วเสด็จมาพระนครสาวัตถีอีกพระราชาสิบดีปัสเนทิโกศลได้ทูลอาราธนาสมเด็จพระทศพลให้เสด็จไปยังพระราชนิเวศน์เพื่อให้พระบรมโลกเชฎฐ์ได้ทอดพระเนตรพระไม้แก่นจันทน์หอมแม้เหมือนพระรูปดั่งเนรมิตซึ่งได้โปรดให้นายช่างประดิษฐ์จำลองขึ้นเป็นอนุสรณ์ครั้นสมเด็จพระพุทธชินวรเสด็จถึง ซึ่งพระราชสถานเป็นพระราชนิเวศน์ ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานสถานพระไม้แก่นจันทน์นั้น พระไม้แก่นจันทน์นั้นก็ทำเหมือนเสมือนหนึ่งว่ามีจิตรู้จักปฏิสันถารกิจที่ควรต้องลุกขึ้นถวายความเคารพพระบรมศาสดาได้ขยับพระองค์เขื่อนเลื่อนลงจากพระแท่นที่ประทับ ครั้นนั้นพระมหามุนีจึงได้ยกพระหัตถ์ซ้ายขึ้นห้ามพร้อมด้วยตรัสว่า เอวังนิสีทะถะ ขอพระองค์จงประทับนั่งอยู่นั้นแล” ครั้นสิ้นกระแสพระพุทธานุญาตพระไม้แก่นจันทน์ก็ลีลาศขึ้นประทับนั่งยังพระแท่นเดิมนั้นพระเจ้าปัสเสนทิโกศลทรงประสบความอัศจรรย์ ก็ทรงโสมนัสเลื่อมใสอัศจรรย์ในพระบารมี ได้ทรงอาราธนาพระชินสีห์พุทธเจ้า พร้อมด้วยพระสงฆ์สาวก เสวยพระกระยาหารบิณฑบาตในพระราชนิเวศน์ ท้าวเธอได้เสด็จอังคาสด้วยพระหัตถ์ของพระองค์ด้วยความเคารพเป็นอันดี ครั้นเสร็จภารกิจแล้วพรุพุทธองค์ก็ถวายพระพร พระภิกษุสงฆ์สาวกเสด็จกลับไปประทับยังพระเชตานาราม พระพุทธจริยาวัตร ตอนทรงยกพระหัตถ์ห้ามพระไม้แก่นจันทน์นั้น เป็นนิมิตมูลเหตุให้สร้างพระพุทธรูปที่เรียกว่า ปางห้ามแก่นจันทน์ (กรมการศาสนา 2525 : 181 – 183) ความเข้าใจข้างต้นชี้ว่า มีการสร้างพระพุทธรูปด้วยแก่นไม้จันทน์ขึ้นเป็นครั้งแรกในระหว่างพรรษาที่ 7 ที่พระพุทธเสด็จจำพรรษาที่ปัญฑุกัมพลลีลาอาสน์ใต้ร่มไม้ปาริชาติในดาวดึงส์สวรรค์ เพื่อเสด็จพระอริยธรรมโปรดพระพุทธมารดา หลักฐานที่พูดถึงพระพุทธรูปไม้อีกเรื่องหนึ่งคือ หนังสือชื่อ ความเป็นจริงที่ไม่อาจลบล้างได้ที่สุดของโลกในแผ่นดินจีน เขียนโดย หลูเฉิงเบี่ยน แปลโดยพิมพมาศ หนังสือเรื่องนี้กล่าวว่าในวัดเฉิงเต๋อผู่หนิงที่มลฑลเหอเป่ยเป็นที่ประดิษฐานพระโพธิสัตว์กวนอิมที่แกะสลักจากไม้สูงราวตึก 5 ชั้นคือ สูง 22.28 เมตร หนัก 110 ตัน มือแต่ละข้างแบออกและมีพื้นที่พอให้คนขึ้นนั่งหรือนอนได้อย่างสบาย ๆ บนเศียรพระยังมีพระพุทธรูปสูง 1.4 เมตรกล่าวกันว่าเป็นทรงพระพุทธรูปแกะสลักที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในมือแต่ละมือของพระโพธิสัตว์กวนอิมถืออาวุธไม่ซ้ำกัน 42 ชนิด พระเนตรทั้ง 45 คู่ แวววาว พระพักตร์แจ่มใสชาวบ้านเรียกกันทั่วไปว่าพระโพธิสัตว์พันมือพันตา จากบันทึกประวัติของพระองค์นี้กล่าวไวัว่าได้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1755 ใช้ไม้ชนิดต่างๆ กว่าร้อยลูกบาศก์เมตร เวลาสร้างจะสร้างแก่นไม้กลางตัวองค์พระก่อนและตั้งแกนรอบๆอีก 14 แกนด้วย แต่ละแก่นจะตรึงกันไว้ด้วยแท่นไม้หนาสองชั้นประกอบเป็นโครงร่างและนำไม้ที่แกะสลักลายเสร็จแล้วมาประกอบกับโครงร่างจากนั้นใช้ผ้าม่านกาวและแลคเกอร์ตกแต่งให้เห็นลวดลายละเอียดขึ้นแล้วจึงลงสีสันและปิดทอง ผลงานที่ปรากฏออกมาแสดงถึงฝีมือและเทคนิค ทั้งพลังความคิดอันเยี่ยมยอดของช่างไม้จีนโบราณได้อย่างดียิ่ง หลักฐานที่กล่าวข้างต้นบอกให้ทราบถึงงานช่างฝีมือที่มีการแกะสลักพระพุทธรูปไม้ที่ได้มีการพัฒนาเป็นอย่างดีซึ่งชี้ให้เห็นว่ามีการแกะสลักพระพุทธรูปไม้มาช้านานจนเกิดความชำนาญ งานช่างประติมากรรมที่เกี่ยวกับการแกะสลักพระพุทธรูปไม้อีสานนั้นเป็นศิลปะที่ได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะล้านช้างหรือลาวซึ่งกล่าวกันว่าชนเชิดลาวได้นับถือพระพุทธศาสนามาตั้งแต่สมัยที่อยู่ในประเทศจีนในสมัยแผ่นดินขุนหลวงลีเมา (พ.ศ.612) อยู่นครงายลาวอนาจักรหนองแสงแล้วเป็นพระพุทธศาสนาแบบมหายานภายหลังได้จางหายไปเพราะรู้จักนับถือกันอยู่เฉพาะในหมู่ชนชั้นสูงเท่านั้นส่วนประชาชนทั่วไปคงนับถือผีสางเทวดาผีฟ้าผีแถนอยู่จนกระทั่งถึงรัชสมัยของพระเจ้าฟ้า แหล่งหล้าธรณีขึ้นครองราชย์จึงได้อาราธนาพระสงฆ์จากอินทปัตนคร (กัมพูชา) พร้อมด้วยพระบางและประชาชนนำพระพุทธศาสนาเข้าสู่ล้านช้างเมื่อ พ.ศ.1902 พระพุทธศาสนาจึงเจริญรุ่งเรืองขึ้นในอาณาจักล้านสืบมา มีการสร้างงานศิลปะขึ้นมากมาย (จำนง ทองประเสริฐ 2514 : 261 – 267) พระพุทธไม้ที่พบในลาวหน้าจะได้รับได้รับอิทธิพลและมีการแกะสลักขึ้นภายหลังสมัยการปกครองของพระเจ้าฟ้างุ้มเป็นแน่ เพราะพระพุทธรูปไม้ที่ทำเลียนแบบพระบางเป็นจำนวนมากเป็นพระปางห้ามญาติเนื่องจากปางห้ามญาติเป็นพระประทับยืนไม่เหมาะกับวัสดุที่เป็นไม้จึงมีการเปลี่ยนมาสร้างพระปางสมาธิและมารวิชัยกันอย่างแพร่หลายในภายหลังรวมถึงภาคอีสานด้วย ที่บ้านโคกกลาง ตำบลขวาไร่ อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม ได้มีการสร้างพระพุทธรูปไม้โดยช่างฝีมือชาวบ้านมาตั้งแต่ พ.ศ.2441 พร้อมกับสร้างสิมโดยการนำของหลวงปู่สังฆราชแม้ปัจจุบันนี้อบาสกวัดตาลเรียง บ้านโคกกลางแห่งนี้ยังเป็นช่างแกะสลักพระพุทธรูปไม้ให้กับชาวบ้านผู้ต้องการและใส่ใจในบุญกุศลอยู่ต่อมา (น้อย ดรหมื่นนอ เป็นผู้ให้ข้อมูลเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2531) กำเนิดพระพุทธรูป พระพุทธรูปถือเป็นเจดีย์ (สิ่งอันเป็นที่ตั้งแต่งการเคารพบูชา) ประเภทหนึ่งในจำนวนเจดีย์สี่ประเภทคือ ธาตุเจดีย์ บริโภคเจดีย์ ธรรมเจดีย์และอุเทสิกเจดีย์ รูปสลักอันเกี่ยวกับพระพุทธประวัติก็ดี จัดว่าเป็นอุเทสิกเจดีย์ (สมพร อยู่โพธิ์ 2514 : 2) พุทธเจติสถานพบสร้างขึ้นครั้งแรกที่ประเทศอินเดีย ครั้งกษัตริย์วงศ์โมริยะองค์ที่สามขึ้นครองราชย์ ประมาณ พ.ศ.270 – 311 ได้ทรงสร้างขึ้นหลายแห่ง ในระยะนี้ไม่นิยมสร้างพระพุทธรูปขึ้นเคารพ ทำแต่รูปอย่างอื่น เป็นเพียงสัญลักษณ์แทนพระพุทธเจ้าดังเช่นที่ปรากฏอยู่ใน สาญจิสกูป (กรมการศาสนา 2525 : 3) การสร้างรูปพระพุทธองค์ (ที่เป็นรูปมนุษย์) เป็นฝีมือของช่างแคว้นคันธารราฐเมื่อราว พ.ศ.370 ชาวกรีกหรือโยนกได้ถือรูปแบบเคารพเดิมที่เป็นเทพเจ้าของตนที่เคยทำมาประดิษฐ์สร้างพระพุทธรูปขึ้นเมื่อพวกเขาได้หันมานับถือศาสนาพุทธ กับที่เป็นฝีมือช่างเมืองมถุรา ต่อมาก็เป็นช่างเมืองอมราวดีในอินเดียใต้ บางแห่งบอกว่าพระพุทธรูปถูกสร้างขึ้นครั้งแรกในรัชสมัยของพระเจ้ากนิษกะแห่งราชวงศ์กุษาณะ ผู้ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ.662 – 760 เป็นฝีมือช่างกรีกโรมัน (สมพร อยู่โพธิ์ 2514 : 2) ภายหลังต่อมาได้มีการสร้างพระพุทธอย่างแพร่หลายกระจายทั่วไป จนเกิดการเรียนพระพุทธรูปตามพุทธจริยาวัตรตอนต่าง ๆ ในพุทธประวัติเรียกว่า “ปาง” มากมายในดินแดนที่นับถือพุทธศาสนา กล่าวคือ- ในแคว้นคันธาระ พบพระพุทธรูปปางสมาธิมารวิชัย ปฐมเทศนาอุ้มบาตรประทานอภัย ประทานพร มหาปฏิหาริย์ ปรินิพพาน ลีลา
- ในอินเดีย พบพระพุทธรูปปางตรัสรู้เทศนา มหาปฏิหาริย์ทรมาน พญาวานรปรินิพพาน ลีลา ทรมานช้างนาฬาคีรี
- ในศรีลังกา พบพระพุทธรูปปางสมาธิ ปรินิพพาน รำพึงลีลา ประทานอภัย
- ในสมัยทวารวดี พบพระพุทธปางเทศนา สมาธิ มารวิชัยมหาปาฏิหาริย์ ปรินิพพาน บรรทม ลีลา ประทานอภัยประทานพร โปรดสัตว์
- ในสมัยศรีวิชัย พบพระพุทธรูปปาง มารวิชัย สมาธิ นาคปรก ปรินิพพาน ประทานอภัย ลีลา
- ในสมัยลพบุรี พบพระพุทธรูปปาง นาคปรก มารวิชัยสมาธิ ปรินิพพาน ประอภัย
- ในสมัยเชียงแสน พบพระพุทธรูปปาง มารวิชัย สมาธิอุ้มบาตร ประดิษฐานรายพระบาท ไสยา นั่งห้องพระบาทลีลา เปิดโลกประทับยืน ถวายเนตร
- สมัยสุโขทัย พบพระพุทธรูปปาง ไสยา ลีลา ประทานอภัยมารวิชัย ถวายเนตร สมาธิประทานพร ประทับยืน
- สมัยอยุธยา พบพระพุทธรูปปาง ไสยา มารวิชัย สมาธิประทานอภัย ป่าเลไลยก์ ลีลา ประทับยืน
- สมัยรัตนโกสินทร์ พบพระพุทธรูปปาง มารวิชัย สมาธิ ประทานอภัย ไสยาขอฝน ประทานพระ (กรมการศาสนา 2525 : 13 – 15 ) ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย พบพระพุทธรูปที่แกะสลักด้วยไม้เป็นปางสมาธิ มารวิชัย ห้ามญาติประทับนั่งหย่อนพระบาท ปิดทวาร (ตา) นาคปรกประทับยืน แบบตราประทับ พระภคโต สมาธิแฝด (สมาธิพระปฤษฎางค์ติดกัน) พระเจ้าห้าพระองค์ (เขาควาย) เป็นต้น
- เพื่อเป็นการสืบทอดพระพุทธศาสนาโดยสร้างองค์พระไม้แทนพระพุทธเจ้า
- เพื่อผลานิสงส์ผลบุญ
- เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ล่วงลับไปแล้ว
- เพื่อเป็นสิ่งสักการบูชา
- เพื่อปฏิบัติตามปณิธานของผู้อุปสมบทที่หวังเอาไว้
- เพื่อสืบชะตาหรือต่ออายุให้กับผู้ป่วยหรือผู้ได้รับเคราะห์กรรม
- Wooden Buddha in ESAN