โดย เบญจพร บุญวิเศษ นักศึกษาฝึกประสบการณ์จากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ดวงตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า แสงอาทิตย์ค่อย ๆ แยงตาผ่านม่านเมฆ เสียงไก่ขันสลับขับบรรเลง บวกเสียงเพลงที่แว่วดังจากลำโพง ถึงแล้วหนอบุญเดือนสามสาวะถี บุญข้าวจี่ตุ้มโฮมฮักสมัครสมาน ฮักมั่นฮักแพงและแบ่งปัน สาวะถีนั้นสืบสานฮีตคอง เช้าวันเสาร์ก้าวขาลงจากรถ จุดนัดพบคือวัดไชยศรี แหล่งเรียนรู้วัฒนธรรมประเพณี ฮีตคองนี้สาวะถีไม่เลือนลาง


ฐานศาลปู่ตา[/caption]
[caption id="attachment_4949" align="aligncenter" width="691"]
ฐานโนนเมือง[/caption]
โดยสรุปผลการเรียนรู้จากการลงพื้นที่เก็บข้อมูลจากฐานโนนเมือง ฐานเหล่าพระเจ้า ฐานศาลปู่ตา และฐานพิพิธภัณฑ์ได้อย่างคร่าว ๆ ว่าเมื่อประมาณ ๑๕๐ ที่แล้ว สถานที่บ้านสาวะถีนั้นยังเป็นป่าดงไม่มีผู้คนอาศัยหมู่บ้านที่อยู่ใกล้บริเวณนี้มากที่สุด คือ บ้านทุ่ม(ในปัจจุบัน) วันหนึ่งมีชาวบ้านทุ่ม 3 คน ได้แก่ ปู่กะนิง ปู่คำจ้ำโง้ง และปู่มุกดาหาร ท่านทั้ง ๓ คน พากันมาเผียงช้าง (เผียง แปลว่า ผูกหรือเลี้ยง) ที่โคกป่าเหล่าพระเจ้า (โคกป่าเหล่าพระเจ้าปัจจุบันอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของบ้านสาวะถีหมู่ที่ ๘ อยู่ห่างประมาณ ๒๐๐ เมตร) ในโคกป่าเหล่าพระเจ้านี้มีพุทธรูปเก่าแก่อยู่ ๑ องค์ ปัจจุบันยังคงเหลืออยู่ และโคกเหล่าพระเจ้านี้ปัจจุบันมีที่นาล้อมรอบ เนื้อที่เหลือประมาณไม่เกิน ๒๐ ไร่) ขณะที่ปู่ทั้ง ๓ คนเลี้ยงช้างอยู่นั้น ช้างตัวหนึ่งเกิดตกมันวิ่งหนีเข้าไปในป่า ปู่ทั้ง ๓ จึงพากันออกตามหา ในที่สุดก็ไปพบช้างเชือกนั้นยืนสงบอยู่ที่โนนเมือง ช้างนั้นยอมให้จับแต่โดยดี อาการตกมันนั้นได้หายไปเป็นปลิดทิ้ง เสมือนมีสิ่งบันดาลให้เป็นไป เป็นที่อัศจรรย์แก่ปู่ทั้ง ๓ อย่างยิ่ง เมื่อทั้งสองคนได้พิจารณาโดยพื้นที่บริเวณโนนเมืองโดยละเอียดแล้ว เห็นว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่บ่งบอกถึงว่าสถานที่แห่งนี้เคยมีความเจริญรุ่งเรืองมาในอดีต มีคูน้ำล้อมคล้ายเป็นคูเมืองสมัยก่อน (โนนเมืองในปัจจุบันอยู่ห่างจากบ้านสาวะถีหมู่ที่ ๘ ไปทางทิศเหนือ ประมาณ ๒๐๐ เมตร) มีซากวัตถุโบราณเก่าแก่ เช่น เครื่องปั้นดินเผา ถ้วยชาม ไหแตก กระดูกขนาดใหญ่ของคนโบราณ และขุดพบใบเสมาจำนวนมากที่โนนเมือง เมื่อปู่ทั้ง ๓ คนได้สำรวจพื้นที่โนนเมืองอย่างดีแล้ว ก็ได้เริ่มชักชวนชาวบ้านทุ่มย้ายถิ่นฐานมาตั้งรากฐานที่โนนเมือง ซึ่งก็มีคนเห็นด้วยและย้ายถิ่นฐานมาหลายพวก แยกย้ายกันตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนอยู่รอบ ๆ โนนเมือง บางพวกก็อยู่ไกลบางพวกก็อยู่ใกล้ ผู้ที่มาตั้งอยู่ใกล้โนนเมืองมีความเชื่อและสันนิษฐานว่า โนนเมืองนี้คงจะเคยเป็นสถานที่บ้านเมืองที่เจริญรุ่งเรืองมีวัดวาอารามที่รุ่งเรืองมาก่อน ด้วยเหตุผลว่าลักษณะมีวัดหลายวัด มีสระหลายแห่ง จะต้องอาศัยกำลังพลสร้าง กำลังพระสงฆ์สามเณรช่วยมาก อีกทั้งต้องมีพระผู้ใหญ่ที่คนเลื่อมใสศรัทธาอยู่ด้วย ประชาชนจึงให้ความสำคัญขนาดนี้ สรุปอาจมีความเจริญมาก่อนเป็นแน่ ถ้ากล่าวถึงประชาชนผู้มาสร้างบ้านเมืองก่อนนี้ ก็คงเป็นผู้ที่มีอันจะกิน มีทรัพย์สมบัติมากดูจากเครื่องใช้ไม้สอยและการสร้างบ้านและสร้างวัด การขุดคลองรอบๆ จึงทำให้คนนิยมเรียกผู้มาตั้งบ้านเรือนหมายแถบโนนเมืองนี้ว่า “ชาวบ้านเศรษฐี” แต่ก็คงมีบางส่วนนิยมเรียกว่า “บ้านสาวัดถี่” เพราะเรียกตามที่มีสระมีวัดอยู่ติดกัน (ภาษาถิ่นเรียกติดกันว่า ถี่) ต่อมาก็นิยมเรียกชื่อบ้านว่า “สาวัตถี” ซึ่งพ้องกับชื่อเมืองในครั้งพุทธกาล คือ กรุงสาวัตถี ต่อมาทางราชการกลับใช้ชื่อหมู่บ้านหรือชื่อตำบลเป็น “สาวะถี” ซึ่งคงเป็นความเข้าใจไม่ตรงกันกับชาวบ้าน จึงเป็นชุมชนสาวะถีอย่างในปัจจุบัน




