โดย อรุณี อุตอามาตย์ นิสิตฝึกประสบการณ์วิชาชีพ จากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม
คนอีสานมีวัฒนธรรมเป็นของตนเอง วัฒนธรรมถูกสร้างขึ้นให้มีลักษณะเฉพาะตามวิถีชีวิตที่แสดงออกถึงความเจริญงอกงามของคนอีสาน ซึ่งถือเป็นมรดกของสังคมเพราะวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่มนุษย์ได้รับมาจากบรรพบุรุษหรือถ่ายทอดให้แก่อนุชนรุ่นหลังจนเป็นวิถีของสังคม คนอีสานมีวัฒนธรรมประจำชาติและประจำท้องถิ่นมาแต่โบราณกาล จนถือเป็นฮีตเป็นคองต้องปฏิบัติสืบกันมาจนเป็นประเพณี เฉกเช่นเดียวกันกับชุมชนสาวะถี ที่มีศิลปวัฒนธรมประเพณีที่ดีงามปฏิบัติสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน บ้านสาวะถี ตำบลสาวะถี อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น เกิดขึ้นเมื่อประมาณ ๒๐๐ ปีเศษ โดยมีราษฎรอพยพมาจากบ้านทุ่ม มาตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณโนนเมืองซึ่งเป็นที่สูงติดกับหนองน้ำ ต่อมาได้มีการตั้งวัดขึ้น หลังจากนั้นชาวบ้านได้มีการขุดสระน้ำรอบ ๆ วัดเป็นจำนวนมากโดยได้ขุดสระที่ติดต่อกัน จึงเรียกติดปากว่าสระวัดถี่ ต่อมาได้แปลงชื่อเป็นสาวะถี โดยมีวัดไชยศรีเป็นศูนย์กลางยึดเหนี่ยวจิตใจและเป็นแหล่งสะสมภูมิปัญญาวัฒนธรรม ซึ่งวัดไชยศรีเป็นวัดเก่าแก่มีโบสถ์หรือที่ชาวอีสานเรียกว่าสิมที่เก่าแก่ อายุกว่าร้อยปีเศษ โดยสิมนี้เดิมหลังคามุงด้วยแผ่นไม้ และมีเอกลักษณ์ คือหลังคามีปีกยื่นทั้งสองข้างแบบสถาปัตยกรรมอีสานดั้งเดิม แต่พอถึงปี พ.ศ. ๒๕๒๕ หลังคาได้ทรุดโทรม หน้าฝนน้ำฝนรั่วลงภายในโบสถ์ ชาวบ้านจึงทำการรื้อและทำหลังคาใหม่ ด้วยความเข้าใจและความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ในสถาปัตยกรรมท้องถิ่นตน จึงทำหลังคาเป็นแบบสถาปัตยกรรมรัตนโกสินทร์ ซึ่งเป็นที่นิยมในสมัยนั้นมาก ส่วนฝาผนังทั้งด้านนอกและด้านในยังคงมีสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ โดยเฉพาะภาพจิตรกรรมฝาผนังหรือฮูปแต้ม ในการจัดกิจกรรมสินไซบุญข้าวจี่ วิถีวัฒนธรรมอีสาน ฝ่ายศิลปวัฒนธรรมและชุมชนสัมพันธ์ สำนักวัฒนธรรม ร่วมกับวัดไชยศรี ชาวชุมชนสาวะถี และเครือข่ายการเรียนรู้ด้านศิลปวัฒนธรรม จึงร่วมกันสืบสานประเพณี ศิลปวัฒนธรรมอันดีของชาวอีสานให้เป็นไปตามรอยฮีต ๑๒ คอง ๑๔ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นสำนึกในภูมิปัญญาวัฒนธรรมของตนเองสู่ภูมิปัญญาบูรณาการ นำทุนทางวัฒนธรรมไปสร้างสรรค์ผลงานกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่น และอนุรักษ์ฟื้นฟูศึกษาต่อยอดมรดกภูมิปัญญาและวัฒนธรรมอีสาน ซึ่งได้รับความร่วมมือจากเครือข่ายโดยมีวัดไชยศรีเป็นศูนย์กลางในการจัดกิจกรรม โดยแบ่งเป็น ๘ ฐานการเรียนรู้ เช้าและบ่าย โดยในแต่ละฐานจะมีวิทยากรของหมู่บ้านที่ให้ความรู้เกี่ยวกับฐาน ดังนี้ ฐานพิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑ์เดิมเป็นอาคารเรียนของนักเรียนโรงเรียนบ้านสาวัตถีราษรังสฤษฎิ์ ตามความต้องการของผู้อำนวยการโรงเรียน ที่เห็นว่าอาคารไม้นี้มีความเก่าเพราะจำนวนนักเรียนที่ลดน้อยลงจึงตัดสินใจมาทำเป็นพิพิธภัณฑ์ ซึ่งสิ่งของที่นำมาจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์นั้น ไม่ได้จัดซื้อแต่อย่างใด แต่มาจากชาวบ้านซึ่งนำของเก่าที่ตนมีอยู่มาบริจาคให้ เนื่องจากอยากมีส่วนร่วมเพื่อการพัฒนา ซึ่งสิ่งของที่จัดแสดงนั้นเป็นอุปกรณ์ เครื่องมือต่าง ๆ ที่ชาวบ้านชุมชนสาวะถีใช้ประโยชน์ และมีเรื่องราวที่น่าสนใจที่คนในชุมชนสามารถเป็นคนถ่ายทอดให้นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวชมได้รับรู้ โดยในพิพิธภัณฑ์แบ่งออกเป็น ๓ ห้อง ห้องแรกเป็นห้องที่บอกเล่าเรื่องราวขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวอีสาน ที่ปฎิบัติสืบต่อกันมาซึ่งแสดงถึงความเป็นกลุ่มชนเก่าแก่และเจริญรุ่งเรืองมานาน เป็นเอกลักษณ์ของชาติและท้องถิ่นที่เรียกว่า ฮีตสิบสอง และมีอุปกรณ์ของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันจัดแสดง ห้องที่สองเป็นอุปกรณ์และเครื่องมือเกี่ยวกับการทอผ้า, อุปกรณ์การประมง, อุปกรณ์การเกษตร และห้องที่สามเป็นเรื่องราวของวรรณกรรมสินไซ ฐานโนนเมือง เดิมเป็นเมืองเก่า เมื่อประมาณ ๒๐๐๐ ปีมาแล้ว มีคนอพยพมาตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณโนนเมือง ซึ่งพื้นที่บริเวณโนนเมือง เป็นพื้นที่สูง มุมโค้งล้อมรอบ มีกลุ่มคนจากหลายจังหวัดอพยพเข้ามาอยู่โนนเมืองเพื่อรับจ้าง และในโนนเมืองเก่ามีศาลปู่ตาเก่าแก่ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านมีความเชื่อว่าศาลแห่งนี้มีผีบรรพบุรุษที่ดูแลท้องนาไม่ให้มีใครมาทำอะไรที่ไม่ดีได้ ซึ่งในอดีตพื้นที่แห่งนี้เป็นพื้นที่สาธารณะที่ชาวบ้านสามารถเข้ามาบริหารจัดการ ใช้เป็นที่พักผ่อนได้เนื่องจากเป็นพื้นที่ลานกว้าง