โดย ชนิดา วงษา นักศึกษาฝีกประสบการณ์จากมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
ฮีตหนึ่งนั้น เมื่อเวลาย่างมาถึงเดือนสามคนอีสานคงคุ้นชินกับบุญประเพณีบุญใหญ่ที่ยึดถือปฏิบัติตามฮีตประเพณีโบราณมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษจวบจนปัจจุบัน คือคำผญาบอกเล่าเอาไว้ในตอนหนึ่งที่ว่า “ฮีตหนึ่งนั้น เถิงเมื่อเดือนสามได้จงพากันจี่ข้าวจี่ไปถวายสังฆเจ้าเอาแท้หมู่บุญ กุศลยังสินำค้ำตามเฮามื้อละคาบ หากธรรมเนียมจั่งซี้มันแท้แต่นาน ให้ทำบุญไปทุกบ้านทุกที่เอาบุญพ่อ เอย คองหากเคยมีมาแต่ปางปฐมพุ้น อย่าพากันไลถิ่มประเพณีตั้งแต่เก่า บ้านเมืองเฮาสิเศร้า ภัยฮ้ายสิแล่นตาม ” ฮีตหนึ่งนั้น เมื่อเวลาย่างมาถึงเดือนสามคนอีสานคงคุ้นชินกับบุญประเพณีบุญใหญ่ที่ยึดถือปฏิบัติตามฮีตประเพณีโบราณมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษจวบจนปัจจุบัน คือคำผญาบอกเล่าเอาไว้ในตอนหนึ่งที่ว่า “ฮีตหนึ่งนั้น เถิงเมื่อเดือนสามได้จงพากันจี่ข้าวจี่ไปถวายสังฆเจ้าเอาแท้หมู่บุญ กุศลยังสินำค้ำตามเฮามื้อละคาบ หากธรรมเนียมจั่งซี้มันแท้แต่นาน ให้ทำบุญไปทุกบ้านทุกที่เอาบุญพ่อ เอย คองหากเคยมีมาแต่ปางปฐมพุ้น อย่าพากันไลถิ่มประเพณีตั้งแต่เก่า บ้านเมืองเฮาสิเศร้า ภัยฮ้ายสิแล่นตาม ” [caption id="attachment_4934" align="aligncenter" width="381"]
ขอบคุณภาพ WordPress.com[/caption]
ตามคำบอกเล่าแต่เดิมกล่าวไว้ว่า มูลเหตุที่ทำบุญข้าวจี่ในเดือนสาม เนื่องจากเป็นเวลาที่ชาวนาได้มีการทำนาเสร็จสิ้น ชาวนาได้ข้าวขึ้นยุ้งใหม่จึงอยากร่วมกันทำบุญข้าวจี่ถวายแก่พระสงฆ์ สำหรับมูลเหตุดั้งเดิมที่มีการทำบุญข้าวจี่ มีเรื่องเล่ากันตามความเชื่อว่า ในสมัยพุทธกาล นางปุณณะทาสี ได้ทำขนมแป้งจี่ถวายแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอานนท์เถระ ครั้นถวายแล้วนางคิดว่า พระองค์คงไม่เสวยและอาจเอาทิ้งให้สุนัขหรือกากิน เพราะ อาหารที่นางถวายไม่ประณีตน่ารับประทาน
เมื่อพระพุทธเจ้าทรงทราบภาวะจิตของนางปุณณะทาสี จึงรับสั่งให้พระอานนท์ปูลาดอาสนะ แล้วทรงประทับนั่งฉันท์ ณ ที่นางถวายนั้น เป็นผลให้นางเกิดปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง และเมื่อนางได้ฟังพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ก็บรรลุโสดาบันปัตติผลด้วยอานิงสงฆ์ที่ถวายขนมแป้งจี่ ชาวอีสานจึงเชื่อในอานิสงส์ของการทานดังกล่าว จึงพากันทำข้าวจี่ถวายทานแด่พระสงฆ์สืบต่อมา จวบจนปัจจุบันนี้บุญข้าวจี่ก็ยังคงเป็นบุญใหญ่ที่ชาวอีสานบ้านเราเมื่อถึงยามเดือนสาม ก็จะพากันเอาข้าวมารวมกันที่วัด และจี่ข้าวร่วมกันเพื่อถวายพระสงฆ์ถือเป็นการทำบุญสร้างกุศลของชาวอีสานมาช้านาน ๒๗ มกราคม ๒๕๖๑ สำนักวัฒนธรรมมหาวิทยาลัยขอนแก่นร่วมมือกับชาวบ้านในตำบลสาวะถี นักเรียน และนักศึกษามาร่วมการทำบุญ ร่วมกันทำกิจกรรมที่วัดไชยศรี ตำบลสาวะถี อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ซึ่งกิจกรรมในช่วงเช้าและบ่ายจะเป็นกิจกรรมการเข้าเรียนรู้ตามฐานต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๘ ฐานการเรียนรู้ และผู้เขียนได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณตาที่อยู่ประจำฐานปู่ตา ปู่ตา ก็คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านสาวะถีเชื่อกันว่าท่านคือผู้ปกปักรักษาชาวบ้านให้อยู่ดีมีสุขหากลูกหลานจะเดินทางไปที่ไหน หรือแม้กระทั่งใครจะทำการค้าขายก็ต้องมากราบไหว้ขอพรให้ปู่นั้นช่วยดลบันดาลให้พบเจอแต่สิ่งดี ๆ ค้าขายร่ำรวย เมื่อสมหวังแล้วลูกหลานก็กลับมาตอบแทนปู่ด้วยการนำสิ่งของมาถวายปู่ โดยจะต้องให้พ่อจ้ำประจำหมู่บ้านเป็นผู้ทำพิธี หรือถ้าจะพูดเป็นภาษาบ้าน ๆ ก็คือช่วยสื่อสาร พูดคุยกับปู่นั่นเอง



