บทความโดย วิทยา วุฒิไธสง นักวิชาการวัฒนธรรม ศูนย์วัฒนธรรม มหาวิทยาลัยขอนแก่น
ภาพโดย ณัฐวุฒิ จารุวงศ์ นักวิชาการโสตทัศนศึกษา ศูนย์วัฒนธรรม มหาวิทยาลัยขอนแก่น
ตำนานพระกริ่งและพระชัยวัฒน์
พระกริ่งและพะชัยวัฒน์เป็นตำนานพระกริ่งและพระชัยวัฒน์มาจากที่ใด เพาะอะไรพระคณาจารย์โบราณได้สร้างสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบันหลักของพระพุทธศสานา พระพุทธศาสนาเป็นศสานาที่มีประชาชนศรัทธาและเคารพนับถือเป็นจำนวนมากศาสนาหนึ่ง โดยเฉพาะประชาชนในทวีปเอเชียองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้าเป็นพระพระบรมศาสดา เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้าได้ถึงวาระดับขันธ์ปรินิพพานมาแล้ว ๖๒๔ ปี บรรดา พุทธสาวกมีความเห็นแตกแยกกันในหลักคำสอนเมื่อมีเหตุผลดังนั้นพุทธสาวกทั้งหลาย จึงได้ประชุมร่วมกันเพื่อทำการสังคายนาในหลักคำสอนและได้เกิดความเห็นเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งยึดถือในการปฏิบัติและมีความเห็นว่าต้องยึดถือในพระวินัยอย่างเคร่งครัด จึงเกิด “นิกายลัทธิหินยาน” อีกฝ่ายมีความเห็นว่าต้องยึดหลัดพระอภิธรรมซึ่งไม่เคร่งครัดในด้านพระวินัย และถือว่าการกระทำด้วยเหตุผลและเป็นผลต่อการอนุเคราะห์ยกเว้นได้ ความเห็นเช่นนี้ทำให้เกิดเป็น “นิกายลัทธิมหายาน” ในลัทธิมหายานได้แปลพระคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา รวมทั้งบดสวดมนต์เป็นภาษาของตัวเอง แต่ลัทธินิกายหินยานเป็นการยึดถือพระบาลีอย่างเคร่งครัด
การกำเนิดพระกริ่งในประเทศไทย
ในพุทธศาสนาได้แบ่งเป็นลัทธินิกายใหญ่สองนิกาย ในพุทธศาสนาลัทธินิกายมหายาน พุทธสาวกได้เคารพและศรัทธาในพระพุทธเจ้าเพิ่มขึ้นอีกองค์หนึ่ง คือ พระไภษัชยคุรุ ซึ่งมีความปรารถนาในการที่จะบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเพื่อช่วยเหลือบรรดาสรรพสัตว์ในโลก เมื่อความศักดิ์สิทธิ์และอภินิหารของพระไภษัชยคุรุได้ปรากฏ จึงเกิดการสร้างพระพุทธรูปไภษัชยคุรุขึ้นในพุทธศาสนาลัทธิมหายานเพื่อกราบไหว้สัการบูชาขึ้นอีกพระองค์หนึ่ง เป็นพระพุทธรูปที่สาวกลัทธินิกายมหายาน เคารพนับถือมากได้ปรากฏมีพระปฏิมาของพระไภษัชยคุรุบูชากันทั่วไปในวัดของ ประเทศจีน ญี่ปุ่น ทิเบต เกาหลี เวียดนาม และประเทศเขมรและเผยแพร่เข้ามาในประเทศไทย จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ประเทศไทยเพิ่งจะมาเปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์ เมื่อยุคกรุงสุโขทัย อาณาจักรศรีวิชัยซึ่งตั้งแคว้นอยู่บนคาบสมุทรมลายู ตั้งแต่ พ.ศ.๑๒๐๐ – ๑๗๐๐ รวมระยะ ๖๐๐ ปี เป็นอาณาจักรที่เคารพนับถือพระพุทธศาสนาลัทธิมหายาน และนำพุทธศาสนาลัทธิมหายานแพร่หลายในหมู่เกาะชวา มลายู จนมาถึงลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาส่วนประเทศเขมรปรากฏมีพระพุทธศาสนาลัทธิมหายานและลัทธิพราหมณ์เจริญแข่งกันพระมหากษัตริย์ของประเทศเขมรหรือขอมในสมัยนั้นบางองค์เป็นพุทธมามกะบางองค์เป็นพราหมณ์มกะ
ใน พ.ศ.๑๕๔๖ – ๑๕๙๒ “พระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑”ซึ่งเป็นกษัตริย์เขมรที่ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเมื่อพระองค์เสด็จสวรรคตแล้วมีพระนามว่า “พระบรมนิวารณบท” ลัทธิมหายานไม่เฟื่องฟูในสมัยพระองค์มากนักเนื่องจากสืบเชื้อสายมาจากอาณาจักรศรีวิชัย แต่ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ยังมีกษัตริย์อีกพระองค์คือ “พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗” ทรงครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. ๑๗๒๔ – ๑๗๔๘ พระองค์ทรงเป็นมหายานพุทธมามกะโดยแท้จริง ทรงพยามยามจรรโลงพุทธศาสนาลัทธิมหายานให้ซึมซับเข้าไปในจิตใจของประชาชนทรงเป็นพระมหาราชาธิราชองค์สุดท้ายของประเทศเขมร เมื่อสิ้นรัชสมัยของพระองค์และประเทศเขมรก็เข้าสู่ยุคเสื่อมพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ พระองค์ ซึ่งเป็นผู้สร้างเมืองใหม่ชื่อ “นครชัยศรี” คือปราสาทพระขรรค์สำหรับเป็นพุทธสถานประดิษฐานพระปฏิมาอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ อันเป็นพระโพธิสัตว์แห่งความเมตตากรุณาซึ่งเป็นสถานที่สำคัญของพระพุทธศาสนาลัทธิมหายาน ทรงสร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่พระเจ้าธรณินทรวรมันพระชนกแล้วทรงสร้างปราสาทตาพรหม ประดิษฐานพระปฏิมาปรัชญาปารมิตาโพธิสัตว์แห่งปัญญาอุทิศแด่พระวรราชมารดา มีจารึกว่าปราสาทตาพรหมเป็นอาวาสสำหรับพระมหาเถระ ๑๘ องค์และสำหรับพระภิกษุ ๑,๗๔๐ รูป แล้วทรงสร้างปราสาทบายนเป็นที่ประดิษฐานพระรูปสนองพระองค์เอง



ที่กล่าวมาทั้งหมดพระกริ่งได้มีวิวัฒนาการถือกำหนดขึ้น ณ สถานที่ใดก่อน ทั้งหมดที่เสนอมามิใช่ข้อยุติ เป็นเพียงข้อมูลและหลักฐานที่ผู้เขียนศึกษาค้นคว้าตามความสามารถเป็นเรื่องราวเพียงส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ คำบอกเล่าและการสันนิษฐานจากแหตุและผลเท่านั้น
]]>