homeprovincearchitecturepaintsculpturecontact
 

ประติมากรรมอีสาน

 

ธาตุอีสาน Taad I-San (Northeast Buddhist Holy Stupa)
            ธาตุและพระธาตุเป็นภาษาถิ่นของอีสาน  ใช่เรียกอนุสาวรีย์หรือสิ่งก่อสร้างที่บรรจุอัฐิธาตุของผู้ตาย  มีความหมายเช่นเดียวกับสถูปหรือเจดีย์ในภาษาภาคกลาง  ธาตุ  หมายถึงที่บรรจุกระดูกของบุคคลสำคัญธรรมดาสามัญ  นับแต่ชาวบ้านไปจนถึงเจ้าเมืองและพระสงฆ์องค์เจ้าโดยทั่วไป  พระธาตุถูกสร้างขึ้นเพื่อประดิษฐานเฉพาะพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสันพุทธเจ้า  หรือพระอรหันต์เท่านั้น  ความโดดเด่นของรูปแบบมักแสดงออกตรงส่วน”ยอดธาตุ”  มากกว่าส่วนอื่น
            พระธาตุ  รูปแบบของพระธาตุ  สามารถจำแนกได้เป็น 6 กลุ่มดังนี้

  1. กลุ่มฐานต่ำ  เช่น พระธาตุศรีสองรัก  อ.ด่านซ้าย  จ.เลย  สร้างเมื่อ พ.ศ. 2103
  2. กลุ่มฐานสูง เช่น พระธาตุพนม(องค์ก่อนบูรณะต่อเติม พ.ศ.2483) อ.ธาตุพนม  จ.นครพนม
  3. กลุ่มเรือนธาตุทำซุ้มจรนำ  ยอดธาตุมีปลี 4 ทิศ เช่น องค์พระธาตุวัดมหาธาตุ  อ.เมือง จ.ยโสธร
  4. กลุ่มเรือนธาตุทำซุ้มจรนำ  ยอดธาตุบัวเหลี่ยม  เช่น  พระธาตุบังพวน  อ.เมือง  จ.หนองคาย
  5. กลุ่มยอดธาตุ 8 เหลี่ยม  ตัวอย่างเช่น  พระธาตุ 8 เหลี่ยมองค์หนึ่งในวัดพระธาตุบังพวน อ.เมือง  จ.หนองคาย  ธาตุก่องข้าวเหนียว ในวัดทุ่งสะเดา  บ.สะเดา  อ.เมือง  จ.ยโสธร
  6. กลุ่มย่อมุม 72 บัลลังก์เรือนธาตุ 8 เหลี่ยม ยอดพระธาตุทรงระฆังคว่ำ  ตัวอย่างเช่น  พระธาตุย่อเหลี่ยมองค์ใหญ่(รัตนฆราเจดีย์) ในวัดพระธาตุบังพวน  อ.เมือง  จ.หนองคาย พระธาตุย่อเหลี่ยมองค์เล็ก  ในวัดพระธาตุบังพวน  อีก 1 องค์  พระธาตุวัดกลาง อ.ศรีเชียงใหม่  จ.หนองคาย  ซึ่งทางวัดได้ก่ออิฐปิดหมดแล้วทั้งองค์

พระธาตุศรีสองรัก

พระธาตุพนม

“ธาตุ” ในครั้งแรกนิยมใช้ไม้จึงเรียกว่า “ธาตุไม้” โดยใช้ไม้ถากให้เป็นท่อน 4 เหลี่ยมจตุรัส  กว้างยาวไม่เกินด้านละ ๓๐ ซม.  แล้วตกแต่งบัวหัวเสาให้วิจิตรพิสดาร  ต่อมาได้พัฒนามาใช้การก่ออิฐถือปูน  ซึ่งสามารถทำได้ใหญ่โตและแข็งแรงยิ่งขึ้น  เรียกว่า “ชะทาย” ซึ่งทำขึ้นจากปูนขาวผสมทราย  ยางบงและน้ำหนังเป็นตัวประสาน
ธาตุปูน  จำแนกออกได้ตามความสำคัญของผู้ตายดังนี้

  1. ธาตุปูนบุคคลสามัญ  ได้แก่ ธาตุใส่กระดูกของชาวบ้านธรรมดาทั่วๆไป มักทำขนาดไม่สูงใหญ่มีทั้งแบบเรียบ  และปั้นปูนประดับเป็นลวดลายบริเวณเรือนธาตุ
  2. ธาตุปูนบุคคลสำคัญ  ได้แก่ ธาตุของนายบ้าน กำนัน  ครูใหญ่  หรือ  บุคคลที่เป็นที่เคารพนับถือในหมู่บ้าน  ตลอดจน  ธาตุของเจ้าเมืองหรือลูกหลานผู้สืบทอดในวงศ์ตระกูล  การก่อสร้างธาตุให้บุคคลเหล่านี้จะประณีตแตกต่างกว่าธาตุของบุคคลสามัญ
  3. ธาตุปูนพระสงฆ์  ได้แก่  ธาตุของพระเถระผู้ใหญ่  เจ้าอาวาส  ญาคูหรือญาท่าน เป็นต้น  มักก่อสร้างสูงใหญ่มีความซับซ้อนมากขึ้น  ตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ดูเด่นเป็นสง่าในวัด  รองมาจาก “พระธาตุ”

นอกจากรูปแบบของ “ธาตุ” และ “พระธาตุ” แล้วยังมีรูปแบบของ “บือบ้าน” หรือ “หลักบ้าน” (ส่วนมากทำด้วยไม้) ของอีสานที่มีลักษณะใกล้เคียงกับ “ธาตุไม้” ของสามัญชน  ต่างกันแต่ว่าไม่มีช่องบรรจุอัฐิเท่านั้น  นับเป็นศิลปกรรมพื้นบ้านอีกอย่างหนึ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่ง

ธาตุไม้และธาตุปูน Taad Mai (Wooden Taad)  and Taad Poon (Masonry Taad)
ธาตุไม้  คือการนำแท่งไม้ ๔ เหลี่ยมจัตุรัสขนาดประมาณ ๑๕-๒๕ ซม.  ความสูงไม่จำกัดมาประดิษฐ์เป็นที่บรรจุอัฐิของสามัญชนนับเป็นงานพื้นฐานในเชิงช่าง  เป็นมูลเหตุแห่การสร้างงานสถาปัตยกรรมประเภทอนุสาวรีย์ในโอกาสต่อมา
ธาตุปูน เป็นธาตุที่ทำด้วยปูน  ไม่ใช้โครงเหล็ก เป็นงานฝีมือช่างที่พัฒนารูปแบบมาจากธาตุไม้  โดยมีองค์ประกอบของฐานธาตุ  เรือนธาตุ  และยอดธาตุ  การบรรจุอัฐินั้นนิยมบรรจุในเรือนธาตุเป็นส่วนใหญ่ ธาตุปูนนิยมสร้างสำหรับบุคคลสามัญ บุคคลสำคัญ  ตลอดจนเจ้านายและพระสงห์
ข้อมูลจากห้องอีสานนิทรรศน์ หอศิลปวัฒนธรรม ม.ขอนแก่น

 

 

 

 

พระไม้อีสาน  (ข้อมูลจาก พระไม้อีสาน รศ.ดร.นิยม วงศ์พงษ์คำ)


ความเป็นมาของพระไม้ในภาคอีสาน
การสร้างพระไม้ในอีสานไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่ามีประวัติความเป็นมาและการสร้างอย่างไร ใครเป็นผู้สร้างขึ้นครั้งแรก เนื่องจากไม่มีหลักฐานที่เป็นเอกสารอ้างอิงชัดเจน จากการศึกษารูปแบบพระไม้อีสานเมื่อเปรียบเทียบกับพระไม้ในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว จะมีลักษณะใกล้เคียงกันมากจนแทบจะแยกขาดจากกันโดยสิ้นเชิงไม่ได้หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นสกุลช่างเดียวกันที่ไดรับและแลกเปลี่ยนอิทธิพลซึ่งกันและกัน นักวิชาการบางท่านได้ให้ความเห็นว่าพระไม้ในอีสานได้รับอิทธิพลมาจากฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง โดยศิลปะแบบล้านช้าง แล้วแผ่ขยายอิทธิพลข้ามมายังฝั่งไทย จากการอพยพโยกย้ายก็ดีหรือจากการถ่ายโอนโดยทางเครือญาติก็ดี
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ได้กล่าวอ้างสนับสนุนแนวความคิดข้างต้นดังกล่าวคือ ชนชาติลาวได้นับถือพุทธศาสนามาตั้งแต่สมัยอยู่ในจีนในสมัยแผ่นดินขุนหลวงลีเมา (พ.ศ. ๖๑๒) อยู่ในนครงายลาว อาณาจักรหนองแสงแล้ว เป็นพุทธศาสนาแบบมหายาน ภายหลังได้จางหายไปเพราะแพร่หลายอยู่ในชนชั้นสูงเท่านั้นในขณะที่ผู้คนส่วนใหญ่ยังนับถือผีฟ้า ผีแถน จนกระทั่งพระเจ้าฟ้างุ้มขึ้นครองราชย์จึงได้นำพุทธศาสนาเข้ามาสู่อาณาจักรล้านช้างใหม่ เมื่อ พ.ศ. ๑๙๐๒ นับจากนั้นพุทธศาสนาจึงได้เจริญรุ่งเรืองสืบมา
นักวิชาการเชื่อว่าพระไม้ในอีสานแรกเริ่มเดิมที่น่าจะเกิดขึ้นภายหลังสมัยการปกครองของพระเจ้าฟ้างุ้มและน่าจะเริ่มจากการทำพระพุทธรูปประทับเป็นยืนเลียนแบบพระบาง ซึ่งพระเจ้าฟ้างุ้ม ได้อัญเชิญมาจากเมืองอินทปัตนคร (กัมพูชา) ต่อมาจึงได้แพร่กระจายความเชื่อสู่สามัญชน
เนื่องจากพระไม้ประทับยืนค่อนข้างทำได้ยากและไม่เหมาะสำหรับช่างพื้นบ้าน จึงเปลี่ยนมาสร้างพระไม้ประทับนั่งปางต่างๆ แทน ดังนั้นจึงพบเห็นพระไม้ประทับนั่งมากกว่าประทับยืน

ความเชื่อเกี่ยวกับการทำพระไม้ของคนอีสาน
คนอีสานอันหมายรวมทั้งชาวบ้าน ช่างแกะสลักและพระสงฆ์มีความเชื่อในการทำพระไม้หลายประการดังนี้

      • เพื่อผลานิสงส์ผลบุญแก่คนสร้างและช่างในอานิสงส์ ภายภาคหน้าและการเกิดในดินแดนของพระศรีอาริยเมตไตย
      • เพื่อเป็นพระพุทธบูชา เมื่อช่างแกะแล้วคนอีสานมักนำพระไม้ของตนเองรวมทั้งพระอื่นๆ เข้าพิธีพุทธาภิเษกเพื่อให้พระพุทธปฏิมากรที่สร้างมีความศักดิ์สิทธิ์และนำไปกราบไหว้บูชาแทนองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า
      • เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนาสร้างแทนองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า
      • เพื่อต่ออายุและสืบชะตาให้กับผู้ป่วยหรือเพื่อสะเดาะเคราะห์ต่างๆ
      • เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับบุพการีและญาติมิตรผู้ล่วงลับ
      • เพื่อสร้างพระพุทธแทนตนของพระผู้บวชใหม่ (เพื่อยืนยันและเป็นสักขีพยานในการเข้าสู่เพศบรรพชิตของตน)

ภาพเขียนลายเส้นโดย อาจารย์กิตติสันต์ ศรีรักษา